Tuesday, March 20, 2007

ความคิดสถาปัตยกรรมบนทางเลี้ยวแห่งศตวรรษ

เรียบเรียงจาก...http://www.plannet.com/features/turnofcenturyarch.html
ความคิดสถาปัตยกรรมบนทางเลี้ยวแห่งศตวรรษ
วิทยาการ& รูปทรง
โดย Anthony Catsimatides
6/06/99


สถาปัตยกรรมบนทางเลี้ยวแห่งศตวรรษเราอยู่ในยุคของข่าวสารข้อมูล ชาวอเมริกันเรียนรู้อะไรมากขึ้น จากการอัดฉีดของสื่อทางโทรทัศน์ ภาพที่เราเห็นกลายเป็นการสร้างเสริมสัญญาณของโลกรอบตัวเราบนการปรุงแต่งสัญญลักษณ์และจินตภาพที่เรากำหนดแล้วกำหนดอีกตลอดช่วงเวลาแห่งศตวรรษที่ ๒๐ นี้ สถาปัตยกรรมบนทางเลี้ยวของศตวรรษที่ ๒๑ ถูกผสมและเสริมแต่งด้วยวิทยาการใหม่ๆ ความคิด รูปแบบ และรูปทรงของการจินตนาการ บนโวหารที่ล้นออกมาเป็นละลอกของการออกแบบที่มีเค้าโครงบ่อยครั้งที่พยายามเสนอบทวิเคราะห์ทางทฤษฎีมากกว่าทางการปฏิบัติ นี่เป็นความจริงในการออกแบบเครื่องเรือนในระยะแรกที่นักออกแบบของยุคทันสมัย เช่น Gerrit Rietveld และเป็นการยืนยันตอกย้ำให้เห็นจริงโดยการออกแบบเครื่องเรือนที่ทำด้วยแผ่นกระดาษของ Frank Gehry



เก้าอี้ออกแบบโดย Gerrit Rietveld 1918 และของ Frank Gehry 1973





สิ่งที่บ่งชี้ความแตกต่างของสถาปัตยกรรมปัจจุบัน ทั้งของสถาปนิกและนักออกแบบที่เอาชนะความเห็นที่เคยเป็นความเหลวไหลในทางปฏิบัติของคนยุคก่อนๆ เราได้ข้ามพ้นเลยอาณาจักร์ของเส้นตรงและปรับตัวเองในทัศนะวิสัยของรูปทรงที่เร่งเร้าความรู้สึกและสนุกสนานมากขึ้น การกระตุ้นทางทัศนะวิสัยนี้ยังคงแผ่ซ่านอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้



Daniel Libeskind, Jewish museum, Berlin 1999



แต่ละยุคของสถาปนิกและนักผังเมือง ต้องปรับแต่งสถาปัตยกรรมตามสมัย แต่ละสมัย สถาปัตยกรรมจะถูกปรับแต่งใหม่ ด้วยความหมายใหม่ที่วางบนรากฐานและบทบัญญัติของการออกแบบ หลายปีที่ผ่านมานี้ สถาปนิกฟันฝ่าไปสู่ความสำเร็จทางสถาปัตยกรรมที่มีเอกภาพ ปลดเปลื้องประโยชน์ทางวัฒนธรรมโดยนัยยะและปกป้องความชอบธรรมของประชาชนไว้ได้ ด้วยเวลาที่ผ่านไปไม่มาก ก่อนที่กลุ่มใหม่จะขบฏต่อต้านเจตนาเหล่านี้ แล้วปรับปรุงเปลี่ยนแปรภาษาใหม่ๆโดยมีฐานของหลักการเดิมผูกติดเอาวัฒนธรรมตะวันตกไว้ แน่นนอนสิ่งที่กำลังกล่าวถึงนี้ คือกระแสความคิดสองกระแสของสถาปัตยกรรมในศตวรรษที่ ๒๐ คือ ความทันสมัย- Modernism และความหลังทันสมัย-Post-Modernism


ความล้นเหลือทางข้อมูล ไม่เป็นที่สงสัยเลยที่การสร้างงานในทุกวันนี้ อยู่บนแนวทางที่กักไว้ด้วยข้อมูลที่ล้นเหลือและมากล้น ข้อมูลที่มากมายนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะรับไว้ได้หมด และยากที่จะถอดระหัสของสิ่งที่ดีออกจากสิ่งที่เลว ความมีคุณค่าจากความไร้ค่า Buckminster Fuller ตระหนักถึงเรื่องนี้ในระยะแรกของศตวรรษที่ ๒๐ มากกว่าคนอื่นในยุคของเขา ในประเด็นที่ว่า สถาปัตยกรรมเป็นผลพลอยได้ของการตรวจค้นทางวิทยาศาสตร์ของโลกทางกายภาพที่อยู่รอบตัวเราเอง


Buckminster Fuller, Tensegrity



ศตวรรษที่ ๒๐ เริ่มต้นมากกว่าการคิดค้นทางวิทยาศาตร์ในขอบเขตของสถาปัตยกรรม เป็นการปั้นแต่งทางศิลปะ ที่จับเอาจินตนาการของสถาปนิกในการแปรรูปเมืองของเราให้กลายเป็นฝักถั่วยักษ์ที่เรารู้จักกันในวันนี้ Le Corbusier และ Frank Lloyd Wright สร้างทัศนะศิลป์เหล่านี้ผ่านทางความเป็นอัจฉริยะของเขา ทั้งสองคนนำใครๆให้ตามได้มากกว่า Buckminster Fuller หรือสถาปนิกอื่นที่มีจิตใจเป็นวิทยาศาสตร์ ผู้ซึ่งต่อสู้เพื่อสิ่งใหม่ที่ใหญ่ยิ่งในการออกแบบ การฉาบทาและปั้นแต่งด้วยศิลปะยังเป็นข่าวพาดหัวของสิ่งพิมพ์ ของสถาปัตยกรรมและการออกแบบ


มาตรวัดของข้อมูลข้อมูลและความรู้เป็นสินค้าในปัจจุบันมีค่าดังทองคำในสมัยพันปีที่แล้วมา ค่าของข้อมูลในแต่ละสังคมถูกวัดจากคุณค่าโดยเนื้อหาของมัน บ่อยครั้งที่อาจพูดได้ว่า นักบริหารตำแหน่งสูงของบรรษัทต่างๆนั้น มักเป็นผู้ครอบครองข้อมูลและใช้มันเป็นนั้น "เป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน" ของผู้ร่วมงานอื่นๆ แต่ในช่วงหลังของศตวรรษที่ ๒๐ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว ข้อมูลเดี๋ยวนี้เป็นของที่แจกจ่ายให้ฟรีๆทั่วไป ดังนั้นคุณค่าในเนื้อหาของมัน ต้องวัดด้วยเกณฑ์ที่กวดขันมากขึ้น มันไม่ใช่สิ่งที่เรารู้ แต่เป็นสิ่งที่เราใช้มันหรือครอบงำกิจกรรมต่างๆของเรา

ดังนั้นในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรม บนหนทางของข่าวสารข้อมูล โวหารเก่าและที่ผ่านไปแล้ว แต่อาจยังเหมาะสม ยังมีส่วนปลีกย่อยที่อาจถูกใช้โดยนักออกแบบ เป็นส่วนหนึ่งของการรู้แจ้งในทางสังคมและส่วนบุคคลได้ ใช้ได้ในการกำหนดรายละเอียดวัสดุของอาคาร ใช้อ่านบันทึกของอดีต เป็นข้อมูลทางเทศบัญญัติและระเบียบการ และใช้ตรวจสอบเงื่อนไขของความต้องการต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถพบว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญ เป็นเครือข่ายโยงใยที่กว้างขวางของโลก- the World Wide Web.

ข้อมูลทุกวันนี้ ใช้เป็นเช่นไฟส่องทางที่สถาปนิกท่องไปในน้ำที่เต็มไปด้วยโคลนตม ของแบบสมัยและรสนิยมที่นำก่อนเหตุ-ผลและเป็นคะแนนสำหรับบทต่อไปของสถาปัตยกรรม เพราะอาคารที่ก่อสร้างและออกแบบมีความซับซ้อนกว่าที่เคยเป็นมาแล้ว เช่นการเริ่มต้นโครงการในทุกขอบเขต ต้องการการรวบรวมข้อมูลมากมายในระดับหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าคือ การมีจินตภาพซึ่งเราได้รับจากคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ สื่อทางศิลปะและป้ายโฆษณา ได้เปลี่ยนบันทึกต่างๆทางความคิดของเราที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรม โปรแกรมสำหรับที่ว่างของอาคารกลายเป็นเหตุ-ผลขั้นพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ การออกแบบโดยทั่วไปเป็นไปตามลำดับขั้นจากความเป็นไปได้ทางธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นให้เห็น ให้รู้สึกหรือได้ยิน อุปมาเป็นตัวอย่างเช่น Frank Gehry โบกคันสีวิเศษและวิโอล่าไปมา นำความนิยมใหม่ของหินอ่อนมันเงาออกมาใช้ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจใหม่ให้เกิดขึ้นสำหรับการออกแบบของเขาในโครงการ พิพิธภัณฑ์ศิลปสมัยใหม่ (MOMA Bilbao) ในประเทศ Spain


Frank Gehry, MOMA Bilbao, Spain, 1997



แบบสมัยของการออกแบบที่ Frank Gehry ใช้ มักเป็นการปั้นแต่ง เปลี่ยนธรรมชาติของวัสดุผ่านทางการจัดแต่งใหม่ของรูปทรงและรูปร่าง จากงานในระยะแรก บ้านของเขาเอง ซึ่งได้เผยให้เห็นวัสดุของโครงสร้างและกำหนดรากฐานการหนีจากความคิดแม้แต่ความนึกคิดของแบบหลังทันสมัย


การเลี้ยวของกระบวนการและหลักฐานแห่งศตวรรษกระบวนการที่เราใช้ในการออกแบบอาคารปัจจุบันนี้มีความยุ่งยากกว่าแต่ก่อน สิ่งแรกเราเริ่มต้นที่ความต้องการ แล้วจัดการให้เหมาะกับข้อจำกัดที่กำหนดไว้ก่อนเคร่าวๆโดยเทศบัญญัติ แล้วเข้าไปเกี่ยวกับอาคารข้างเคียง เข้าไปเกี่ยวกับรายการประกอบในแต่ละส่วนของอาคาร กระบวนการนี้ลำพังแล้วดูเหมือนว่าทำให้ท้อแท้ แต่จริงๆแล้วไม่เลย ในความเชื่อที่ว่าความเป็นอัจฉริยะจริงนั้นสามารถเลี่ยงการเผชิญความเป็นปรปักษ์กันและกันได้


การเลี้ยวแห่งศตวรรษของสถาปัตยกรรม เดี๋ยวนี้เกี่ยวข้องกับรูปทรงที่เห็นมากกว่าแต่ก่อน แล้วยังเกี่ยวกับวิทยาการใหม่ที่รับรู้ ซึ่งเราทำให้เกิดความเป็นไปได้ในการเน้นการห่อหุ้มมันด้วยวิทยาการนั้น เรามีข้อมูลที่ใช้แล้วทิ้งและข้อมูลมากมายที่เกี่ยวกับวัสดุและกระบวนการ เรายังมีความสามารถใช้วัสดุบวกกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อตรวสอบการป้องกันน้ำ อะไรทั้งหมดที่ถือเป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญ เราก็ยอมรับการที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ และเป็นเรื่องปกติธรรมดามากกว่าแต่ก่อน


สถาปัตยกรรมที่มีตราประทับหรือยี่ห้อในตลาดการค้าทุกวันนี้ เครื่องกำหนดแสดงเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ มักนำมาเป็นเรื่องแรกๆในการออกแบบสถาปัตยกรรม สำนักงานใหญ่ของบริษัทต่างๆ มักสร้างเพื่อตั้งใจให้เป็นที่ผ่อนคลายมีอิสระภาพสำหรับความมีตัวตนของบริษัท ในลักษณะของแบบสมัยสากล-International Style ซึ่งบ่อยครั้งที่อ้างเป็นอัตต-ลักษณ์ของสถาปัตยกรรมทันสมัย พยายามที่จะตัดความเป็นส่วนตัวและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมออกไปเพื่อกำหนดเป็นลักษณะเฉพาะแบบรวมๆสำหรับทุกๆมาตรฐาน


ตราประทับหรือยี่ห้อนี้เป็นส่วนสำคัญที่แท้จริงของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และในไม่ช้าก็จะมีคุณค่าเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ล้นเหลือ แต่ละบรรษัทต่อสู้เพื่อแย่งการตลาดด้วยตราบรรษัทที่เด่นชัดของเขา การจดสิทธิบัตรและตลาดการค้าเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จ การปราศจากเครื่องมืออันนี้ สิ่งที่มองเห็นได้ของบริษัทต่างๆก็จะไม่สามารถยึดถือเอาพลังที่เป็นความจริงทางพฤตินัยได้ นี่ก็เป็นเรื่องเดียวกันกับความเป็นปัจเจกชน การปราศจากตราประทับที่เป็นโดยอิสระของ ศิลปิน นักปรัชญา กวี นักวิทยาศาสตร์ และนักคิดที่ยิ่งใหญ่ ก็จะไม่เป็นที่ยอมรับหรือรำลึกถึงได้เลย ดังนั้นการล้วงลงในหวดที่ใส่ปลานี้ เปรียบเหมือนการเปิดกล่องของพวงผลไม้ ซึ่งเรารู้ก่อนได้ว่าข้างในเป็นอะไร


สถาปัตยกรรมของวิทยาการ สถาปัตยกรรมทุกวันนี้ถูกดันไปผูกมัดอยู่กับวิทยาการ สถาปนิกที่คิดไว้ล่วงหน้าในเรื่องนี้ มีตัวอย่างในปัจจุบันคือ Richard Rogers, Norman Foster, Renzo Piano และ Jean Nouvel, ท่ามกลางคนอื่นที่ไม่ได้เอ่ยนาม สถาปัตยกรรมของพวกเขาเหล่านี้ เกิดขึ้นมาจากองค์ประกอบและการประกอบเข้ากันด้วยวัสดุ และวิธีการที่เป็นวิทยาการชั้นสูง
ศิลปวิทยาการไม่มีอะไรที่น่าเชื่อถือไปกว่างานออกแบบ the Pompidou Center ในปี 1970's และในงานออกแบบเร็วๆนี้ เช่น the large Millennium Dome ในประเทศอังกฤษ สิ่งนี้เห็นได้ชัดว่า สถาปัตยกรรมคือวิทยาการ และมันเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาการซึ่งทำให้เกิดความต่างสำหรับอาคารที่มีวิทยาการเป็นคุณค่าพิเศษสุด


Renzo Piano/Richard Rogers, Pompidou Centre, Paris, France 1978
Richard Rogers, Millennium Dome, Grenwich England, 1999


เราขอจบศตวรรษของเราด้วยสัญชาติญานที่ติดเป็นนิสัยของเรา เช่นเราสร้างหอชูยอดสูงต่างๆด้วยวิทยาการที่ยอมรับกันแล้วห่อเอาเกณฑ์การใช้สอยรวมไว้ เราแสดงความก้าวไกลเป็นอย่างไรที่สามารถดันให้เกิดเครื่องห่อหุ้มนี้ สถาปัตยกรรมในสหัสวรรษใหม่จะดำเนินการต่อสู้ต่อๆไปสำหรับความเป็นเลิศในการออกแบบ โดยผ่านการยอมรับทางวิทยาการและการทัศนาที่สนุกสนานแน่นอน

No comments: